Ambulance diversion ได้ถูกนิยามไว้หลากหลาย โดยทั่วไปหมายถึงการที่ห้องฉุกเฉินปฏิเสธรถพยาบาลที่จะนำผู้ป่วยมาส่งในช่วงเวลาที่มีจำนวนผู้ป่วยมากเกินขีดความสามารถของโรงพยาบาล ถือเป็นมาตรการ "ชั่วคราว" ที่ถูกนำมาใช้แก้ปัญหาผู้ป่วยล้นห้องฉุกเฉิน (emergency department (ED) crowding) โดยเชื่อว่าจะทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาเร็วขึ้น (จากสถานพยาบาลอื่นที่มีความพร้อม) เป็นผลให้ลดอัตราการตายและการเกิดภาวะทุพพลภาพได้
รูปแสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ED crowding, ambulance diversion และผลลัพธ์ของผู้ป่วย(1)
อย่างไรก็ตาม ในโมเดล ED crowding ที่แบ่งเป็น input, throughput และ output นั้น พบว่าปัญหาหลักอยู่ในส่วนของ output โดยมีปัจจัยสำคัญคือไม่สามารถส่งผู้ป่วยที่ต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาลไปยังหอผู้ป่วยได้ ในขณะที่ ambulance diversion เป็นการบรรเทาปัญหาในส่วนของ input ซึ่งมีผลน้อย จึงมีการตั้งคำถามถึงประโยชน์ของ ambulance diversion และความกังวลถึงปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น การนำส่งผู้ป่วยถึงโรงพยาบาลล่าช้า (เพราะต้องไปโรงพยาบาลอื่นที่อยู่ไกลออกไป) รถพยาบาลใช้เวลาในการออกปฏิบัติการแต่ละครั้งนานมากขึ้นทำให้บริการผู้ป่วยได้ลดลง และสังคมอาจเข้าใจว่าโรงพยาบาลปฏิเสธการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉิน
ปัจจุบันการศึกษาถึงผลของ ambulance diversion ต่อปัญหา ED crowding ยังไม่ชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยังไม่มีตัวชี้วัดที่เหมาะสมในการวัดขนาด ED crowding จาก systematic review ในปี พ.ศ. 2549 พบว่า ambulance diversion สัมพันธ์กับความล่าช้าในการนำส่งผู้ป่วย (transport time), การได้รับยาละลายลิ่มเลือดล่าช้า, และการสูญเสียรายได้ของโรงพยาบาล แต่ไม่มีความสัมพันธ์กับอัตราตาย และยังไม่มีการศึกษาถึงผลต่ออัตราการเกิดภาวะทุพพลภาพ และความพึงพอใจของผู้ป่วยและบุคคลากรในระบบการแพทย์ฉุกเฉิน(1) ต่อมามีการศึกษาพบว่า ambulance diversion สัมพันธ์กับอัตราตายที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด(2,3) แต่ไม่สัมพันธ์กับอัตราตายในกลุ่มผู้ป่วยเด็ก(4) สำหรับสมมติฐานที่ว่า ambulance diversion จะทำให้รถพยาบาลใช้เวลาในการให้บริการผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้นและส่งผลให้ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งเสียโอกาสในการใช้บริการนั้น ข้อมูลจากการศึกษายังมีความขัดแย้ง(5,6)
จากประโยชน์ที่ไม่ชัดเจนและข้อกังวลถึงผลเสียที่อาจเกิดขึ้น รัฐแมสซาชูเซตส์ในประเทศสหรัฐอเมริกาจึงประกาศยกเลิก ambulance diversion ในปี พ.ศ.2552 ต่อมาในปี พ.ศ. 2556 มีการศึกษาในเมืองบอสตันซึ่งเป็นเมืองหนึ่งในรัฐแมสซาชูเซตส์ พบว่าการยกเลิก ambulance diversion ไม่ได้ทำให้ปัญหา ED crowding แย่ลง (ใช้ระยะเวลาที่ผู้ป่วยอยู่ในห้องฉุกเฉินเป็นตัวชี้วัด) และยังพบว่าทำให้รถพยาบาลใช้เวลานำส่งผู้ป่วยที่โรงพยาบาลลดลง (ระยะเวลาตั้งแต่รถพยาบาลไปถึงห้องฉุกเฉินจนถึงเวลาที่รถออกจากโรงพยาบาล)(7)
วิทยาลัยแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (American College of Emergency Physicians: ACEP) แนะนำให้ระบบการแพทย์ฉุกเฉินพัฒนากลไกของ ambulance diversion ซึ่งรวมถึงการกำหนดนโยบายจากความเห็นร่วมกันของหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยข้อตกลงดังกล่าวต้องครอบคลุมถึง การระบุสถานการณ์ที่โรงพยาบาลมีทรัพยากรไม่เพียงพอและจำเป็นต้องใช้ ambulance diversion, การแจ้งบุคลากรในระบบเมื่อประกาศใช้ ambulance diversion, การดูแลรักษาผู้ป่วยในระหว่างที่มี ambulance diversion อย่างเหมาะสม ปลอดภัย และทันเวลา, การแจ้งบุคลากรที่เกี่ยวข้องทันทีที่สามารถยกเลิก ambulance diversion ได้, การค้นหาสาเหตุที่นำไปสู่การใช้ ambulance diversion และวิธีการป้องกันแก้ไขเพื่อลดการใช้ ambulance diversion ให้มากที่สุด, รวมถึงการทบทวนนโยบายและแนวทางปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ ACEP ยังได้ให้แนวทางในการกำหนดนโยบายดังต่อไปนี้(8)
สมาคมแพทย์ในระบบการแพทย์ฉุกเฉินแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (National Association of EMS Physicians: NAEMSP) ก็เสนอแนวทางปฏิบัติที่คล้ายคลึงกับ ACEP แต่มีขอบเขตที่กว้างกว่า เช่น ไม่สนับสนุน ambulance diversion เฉพาะกิจ กรณีขาดทรัพยากรบางอย่างชั่วคราว, กำหนดให้มีข้อตกลงเรื่องกฎเกณฑ์ที่จะปฏิเสธ ambulance diversion ได้ ซึ่งควรประกอบด้วย สภาวะของผู้ป่วย, transport time, สถานการณ์ที่ทุกโรงพยาบาลประกาศใช้ ambulance diversion พร้อมกัน, อุบัติภัยหมู่ (Mass Casualty Incidents) รวมถึงกำหนดผู้มีอำนาจในการตัดสินใจ และควรมีกฎหมายคุ้มครองผู้ปฏิบัติงานในกรณีนี้ด้วย นอกจากนี้ NAEMSP ยังสนับสนุนให้ medical director (ร่วมกับผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ) มีอำนาจปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์การใช้ ambulance diversion ได้ตามความจำเป็น(9)
โดยทั่วไป ambulance diversion มี 2 ประเภท ได้แก่ complete diversion คือการปฏิเสธรถพยาบาลในทุกกรณี และ partial diversion ซึ่งหมายถึงการปฏิเสธโดยคำนึงถึงทรัพยากรของโรงพยาบาลหรือผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม เช่น ผู้ป่วยเด็ก ผู้ป่วยอุบัติเหตุรุนแรง หรือผู้ป่วยแผลไฟไหม้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติสำหรับ complete diversion ก็มีข้อยกเว้นสำคัญหลายกรณี เช่น ผู้ป่วยหัวใจหยุดเต้น, ทางเดินหายใจอุดกั้น, ผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะวิกฤติเกินกว่าจะนำส่งโรงพยาบาลอื่นได้, หญิงตั้งครรภ์ในระยะคลอด รวมถึงกรณีผู้ป่วยปฏิเสธที่จะไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลอื่น อีกประเด็นหนึ่งของ ambulance diversion คือการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุ ซึ่งทรัพยากรที่ใช้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีจำกัด แนวทางการใช้ ambulance diversion สำหรับผู้ป่วยกลุ่มนี้จึงควรเป็นแนวทางเฉพาะแยกจากผู้ป่วยอื่นๆ
ถึงแม้ไม่มีหลักฐานสนับสนุนชัดเจนว่า ambulance diversion สามารถบรรเทาปัญหา ED crowding อีกทั้งยังอาจส่งผลเสีย แต่ก็ไม่อาจคาดเดาผลลัพธ์ในบริบทของประเทศไทยได้ หากนำมาใช้จะต้องอาศัยความร่วมมืออย่างมากจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง อิงแนวทางปฏิบัติตามข้อแนะนำของ ACEP และ NAEMSP ข้างต้น มีระบบรองรับ จัดตั้งศูนย์ควบคุม มีการสื่อสารภายในระบบ (อาจใช้โปรแกรมที่ทำงานบนอินเทอร์เน็ต) ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลสถิติและติดตามผล ศึกษาผลกระทบ เพื่อแก้ไขปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ป่วยต่อไป
เอกสารอ้างอิง