ขณะกำลังรับเวรบ่ายวันหนึ่งในห้องฉุกเฉิน ฉันพบชายวัยประมาณ 60 ปี กำลังนอนทอดกายไม่ได้สติอยู่บนเปลนอนในมุมสังเกตอาการของห้องฉุกเฉินเพื่อรอเตียงนอนในโรงพยาบาลด้วยปัญหาเตียงเต็มซึ่งเป็นปัญหาสำคัญที่พบในเกือบทุกโรงพยาบาลใหญ่ๆของรัฐในเขตตัวเมือง เนื่องจากจำนวนผู้ป่วยที่มีมากกว่าจำนวนเตียงที่สามารถรองรับได้ ทราบจากเวรเช้ามาว่าลุงมารับบริการที่ห้องฉุกเฉินตั้งแต่เช้าด้วยอาการปวดศีรษะมากขึ้นมา1สัปดาห์ ตอนแรกยังตื่นรู้ตัวดี สามารถพูดคุยถึงอาการต่างๆได้ แต่ในขณะนี้อาการแย่ลง เรียกไม่ได้สติ ฉันจึงให้น้องนักศึกษาแพทย์ปีหกช่วยเข็นลุงเข้าห้องดูแลผู้ป่วยหนัก ( resuscitation room) เพื่อเตรียมใส่ท่อช่วยหายใจทันที
ผลการตรวจน้ำตาลและเกลือแร่ในเลือดเป็นปกติ ส่วนผลการเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์สมองพบก้อนขนาดใหญ่ที่สามารถอธิบายอาการของลุงในขณะนี้ได้เป็นอย่างดี
ฉันสังเกตเห็นมือขวาของลุงซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง เมื่อดึงมือออกมาก็พบเศษกระดาษเล็กๆใบหนึ่งบรรจุอยู่ในกำมือนั้นเสมือนตั้งใจจะเก็บมันไว้เพื่อมอบให้แก่ใครสักคนหนึ่ง ฉันและน้องนักศึกษาแพทย์บรรจงแกะนิ้วที่กำแน่นอยู่นั้นออกมาเพื่อนำแผ่นกระดาษออกมาดู หลังจากคลี่กระดาษออกก็พบข้อความที่ลุงประสงค์จะบอกกับเราเป็นครั้งสุดท้าย
“เรียน คุณหมอที่รักษาผมในขณะนี้
กระผมนาย............... นามสกุล ............................. ได้ป่วยเป็นโรคมะเร็งต่อมลูกหมาก
ขณะนี้เนื้องอกได้แพร่กระจายไปยังสมอง และเข้าสู่ระยะสุดท้ายแล้ว
หากผมสิ้นสติสัมปชัญญะ หรือมีเหตุอะไรทำให้อาการของผมแย่ลง
กรุณาอย่ากดปั๊มหน้าอกของผม เนื่องจากกระดูกซี่โครงอาจหักมาทิ่มปอดของผมได้
ผมได้บริจาคร่างกายเพื่อการศึกษาให้แก่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ขอความกรุณามอบร่างของผมให้แก่ทางคณะเมื่อผมได้สิ้นชีวิตไปด้วยนะครับ เพื่อเป็นประโยชน์แก่นักศึกษาแพทย์ต่อไป
......ร่วมกันสร้างประโยชน์เพื่อสังคมกันนะครับ......”
อ่านจบ น้ำตาของฉันไหลออกมาโดยไม่สามารถกลั้นไว้ได้ ด้วยความประทับใจในความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ของลุง ความเข้าใจชีวิต และการยอมรับวาระสุดท้ายของชีวิตโดยไม่รู้สึกหวั่นกลัว ทำให้ฉันนึกถึงโคลงบทหนึ่งที่สอนใจ…….
“ พฤษภกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง
โททนต์ เสน่งคง สำคัญหมาย ในกายมี
นรชาติวางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์
สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ ในโลกา ”
วัว ควายสิ้นชีพก็ยังเหลือเขาเอาไว้ให้ดูต่างหน้า แต่คนเราเมื่อตายไปไม่เหลืออะไรทิ้งไว้เลยแม้แต่ร่างกายที่จะต้องเน่าเปื่อยผุพังลงไปตามกาลเวลา จะเหลือไว้ก็แต่ความดีงามที่ได้ประพฤติปฏิบัติเอาไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อให้ผู้อื่นได้จดจำเท่านั้น ลุงได้เสียสละแม้ร่างกายอันไร้ลมหายใจไว้ให้คนที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ใช้ประโยชน์ ฉันนึกอยากให้พวกวัยรุ่นที่ฆ่าตัวตายประชดชีวิต หรือผู้ป่วยโรคร้ายแรงระยะสุดท้ายที่ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังรอความตายได้มองไปที่เศษกระดาษใบน้อยๆที่ลุงได้เขียนเอาไว้นี้ เราจะเห็นความอดทน ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใดแม้แต่โรคร้ายที่รุมเร้าจนไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ ลุงไม่ได้รอความตายอย่างไร้ความหวัง หากแต่ได้วางแผนทำความดีหลังสิ้นชีพด้วยความหวังอันเปี่ยมล้น แม้จะรู้ว่าจุดจบของชีวิตคือความตาย ก็ยังไม่ย่อท้อที่จะทำความดี
ฉันตัดสินใจไม่ใส่ท่อช่วยหายใจ ไม่กดปั๊มหน้าอกลุงตามความปรารถนาครั้งสุดท้ายที่ลุงได้เขียนทิ้งไว้ ฉันให้ญาติของลุงได้อ่านข้อความบนแผ่นกระดาษ และเซ็นใบไม่ยินยอมให้การรักษา เพื่อให้ลุงได้จากไปอย่างสงบ ด้วยความทุกข์ทรมานที่น้อยที่สุด
หากเศษกระดาษในมือลุงแผ่นนี้จะสามารถบอกอะไรแก่เราได้ มันก็คงสอนให้เราได้รู้จักคำว่า"เสียสละ" และ"การให้ที่ไม่หวังผลตอบแทน" ไม่จำเป็นต้องถามว่าสังคมได้ให้อะไรแก่เราบ้าง จงถามว่าเราได้ให้อะไรแก่สังคมบ้างหรือยัง? นอกจากนี้มันยังสอนให้เรารู้จักชีวิต รู้จักความตาย กล้าเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่หวั่นไหว และก่อนที่เราจะตัดสินใจกดปั๊มหัวใจผู้ป่วยแต่ละราย ก็ควรอาศัยหลักจริยธรรมและมนุษยธรรมมาร่วมพิจารณาด้วยว่าผู้ป่วยสมควรได้รับการกดปั๊มหน้าอกหรือไม่ ผู้ป่วยบางคนอายุมาก มีโรคประจำตัวที่ทำให้ทุกข์ทรมานมากอยู่แล้ว ระยะของโรคอาจดำเนินมาจนถึงขั้นสุดท้าย สมควรที่จะมีการปรึกษากันกับทั้งตัวผู้ป่วยเองและญาติของผู้ป่วยว่าจะให้ทำการกดปั๊มหัวใจเมื่อระยะสุดท้ายของชีวิตดำเนินมาถึงหรือไม่ ไม่เช่นนั้นการกู้ชีพอาจจะกลายเป็นการกู้ความทุกข์ทรมานมาให้ผู้ป่วยแทนก็ได้