ธันวาคม 2549 ....จริงๆแล้วตอนนั้นยังเป็น Resident 3 อยู่ค่ะ และเป็นช่วง Elective Trauma ที่รพ.มหาราชนครราชสีมา
แต่พอดีน้องชายตัวแสบ อุตส่าห์เรียนจนจบ Master degree ที่ดั้นด้นไปเรียนถึง Concordia University ที่อเมริกาโน่น....งานนี้ต้องไป
ถ่ายรูปแช๊ะๆ กันซะหน่อย แล้วก็เลยเป็นที่มาของการผสมรอยไปร่วมสอน ACLS renewal course ที่ Washington D.C. กับ Prof.Micheal Murrows ด้วยซะเลย งานนี้ก็ต้องขอขอบพระคุณ อ.บวร รพ.มหาราชฯที่ยอมให้แว้บไปด้วยค่ะ (^^,)
นั่งเครื่องการบินไทยจากสุวรรณภูมิยกแก๊งกันไปทั้งครอบครัว ร่วม 18 ชม.ได้ เรียกว่านั่งกันคางเหลือง ทรมาณมาก
ทำเอาเจ้าน้องสาวคนเล็กที่อยากเที่ยวนักเที่ยวหนา ถึงกับบ่นอุบ
ไปต่อเครื่องที่สนามบิน Chicago O'Hare....ว่าแล้วก็ขอแว่บดูซะหน่อย ที่เค้าว่ามี AED อยู่ทุกที่ ให้วิ่งหาได้เลย
แอบดูแล้ว มีกระจายอยู่ทั่วจริงๆค่ะ
พอไปถึงแล้วก็ได้นอนกัน บวกช๊อปกันวันเศษๆ ก็ถึงวันรับปริญญาน้องชายตัวดี
จากนั้นก็เป้นช่วงฉายเดี่ยวต้องบินคนเดียวไป D.C. ค่ะ
เครื่องภายในประเทศที่บินข้ามรัฐสะดวกสบายมาก แม้เครื่องจะเบาะดูเก่า แต่ว่าระบบความปลอดภัยด้านสุขภาพค่อนข้างจะดีมากๆ
แม้จะเป็นเครื่อง 40 ที่นั่ง ก็ยังมี AED อยู่บนเครื่องค่ะ
แอบขอแอร์เปิดดูแต่เค้าไม่ให้เหะ (^_^")
เนื่องจากเราไปแบบขอแว้บ..จึงไม่ได้มีเวลาเที่ยวหวานเย็นมากนัก บินถึง D.C. ตอนเย็นเสร็จแล้วก็ต้องรีบนอนเลย
เพราะมีสอนวันรุ่งขึ้นแต่เช้า แม้ว่า class จะเริ่มตอน 08.30 น. แต่การที่เราต้องเป็น instructor (หมายถึงรอบนี้เป็นคนสอนเองแล้ว) ก็ต้อง
ไปเตรียมหุ่นและอุปกรณ์ต่างๆก่อนเริ่ม class ค่ะ รอบนี้เราใช้สถานที่ของ SHADY GROVE PROFESSIONAL BUILDING ค่ะ
ของเล่นใน EMS ที่นี่มีน่าสนใจ 1 ชิ้นค่ะ เรียกว่า Trigger tube .... เป็นเหมือนท่อช่วยหายใจ endotracheal ของเรานี่แหละ แต่ว่ามีสายสำหรับดึง
ให้ปลายกระดกได้ เขาบอกว่าใช้มากเวลาใส่ tube แบบ blind nasal ท่านั่ง ให้เราเอา stethoscope ฟัง
พอได้ยินเสียงหายใจชัดก็ดึงสาย จะทำให้ปลาย tube งอเข้าแล้วจะผ่านเข้า trachea ไปง่ายๆ....ฮ้า ฟังแล้วเจ๋งชะมัด...แต่เมืองไทยยังไม่เห็นมีใครเอามาขายแฮะ
ตอนเย็นหลังเสร็จงานแล้วเลยได้มีโอกาสแวะเข้าไปที่ Washington Hospital Center
ของที่นี่แทบจะแยกกันคนละฟาก เป็นตึกโค้งใหญ่ๆรูปตัว V แต่ข้างในเชื่อมถึงกัน ที่ทำอย่างนี้เพื่อเปิดให้ข้าง Trauma ของที่นี่ หรือที่เรียกว่า MEDSTAR
ได้ต่อเชื่อมกับ Helipad ซึ่งสามารถรับได้ถึง 4 Helicopter พร้อมๆกันค่ะ เพราะที่นี่เป็น Trauma center Level I เพียงแห่งเดียวบริเวณนี้
เปลของ prehos เค้าเท่ห์ชะมัด...อยากได้อย่างงี้มั่งอ่ะ ท่าทางจะนิ่ม (แต่อาจจะไหลหน่อย)
ห้อง Trauma ของเค้าใหญ่เท่าเตียง Resusc room ของเราสองเตียงเลย สามารถดึงอุปกรณ์ที่ติดตั้งไว้เป็นแขนๆยื่นออกมาได้อีกเพียบ
ดีที่เค้าเพิ่งเสร็จเคสไป และยังไม่คนไข้ใหม่ จึงพอให้เราถ่ายรูปได้ค่ะ
มีอะไรน่าสนใจหลายอย่างแต่ Trauma nurse ของเค้าให้ถ่ายรูปได้แค่นี้ เลยต้องอดไปตามระเบียบ
ขากลับก็บินกลับมาแวะที่ LA เพื่อจะเยี่ยมน้องชายคนเล็ก...ที่นี่ก็มี AED ที่สนามบิน ที่สำคัญ !! เพิ่งสังเกตว่าทำไมชอบมาตั้งไว้หน้าห้องน้ำนะ
ช่วงที่บินจาก Milwaukee ไปหาน้องชายคนเล็กที่ LA ผ่าน Salt Lake City ไปติดพายุหิมะอยู่ 8 ชม. โอ้วจอร์จ...
ตอนนั้นรูปมันไม่ได้สวยอย่างงี้หรอกนะ
ในที่สุดก็ถึงเวลาบินกลับบ้าน ...กลับมาแวะที่สนามบินนาริตะที่ญี่ปุ่น ที่นี่ก็มี AED อยู่หน้าห้องน้ำกะเขาเหมือนกัน
บนเครื่องมันน่าเบื่อมาก นอนก็ไม่หลับ อ่านหนังสือก็ไม่ทัน ต้องสอบ ATLS ในอีก 1 เดือนหลังจาก trip นั้น เลยต้องงัดหนังสือ ATLS มานั่งอ่าน...
ไม่หลับแฮะ...เล่นเอาเมาเครื่องอีกต่างหาก !
จบ trip อย่าง Happy Ending สบายกระเป๋า (เพราะพ่อจ่าย ! ) กลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ
โปรดติดตามตอนต่อไป....ตอนตะลุแดนสิงโต ...สิงคโปร์ ...โฮกๆ...จ้า
Cetus Inculta