ชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ปี ถูกเข็นเข้ามาในห้องฉุกเฉินด้วยอาการเหนื่อยหอบ
เขายังสามารถคุยโต้ตอบกับฉันเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นได้ขณะที่ฉันกำลังเข้าไปซักประวัติเพื่อเก็บรายละเอียดในการวิเคราะห์โรคของเขา
ฉันทำการตรวจร่างกาย ส่งเอ๊กซเรย์ปอด
และตรวจคลื่นหัวใจเพื่อที่จะวินิจฉัยโรคอย่างถี่ถ้วน
ขณะกำลังเขียนบันทึกประวัติและผลการตรวจอยู่นั้น
หัวใจของชายผู้นี้ได้หยุดเต้นลงอย่างกะทันหัน
ไม่มีชีพจร...........
ไม่สามารถวัดความดันโลหิต............
ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวขึ้นลงของหน้าอกตามการหายใจ
ฉันรีบวางปากกาที่กำลังจรดอยู่บนแผ่นกระดาษเวชระเบียนผู้ป่วยวิ่งเข้าไปพร้อมกับทีมพยาบาลและเจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉินเพื่อร่วมกันกู้ชีวิตของผู้ป่วยโดยทันที
ฉันใส่ท่อช่วยหายใจเข้าไปในหลอดลมของเขา
เจ้าหน้าที่เวชกิจฉุกเฉินขึ้นกดหน้าอกเพื่อสร้างการไหลเวียนโลหิตแทนการเต้นของหัวใจ
แต่ทว่า…..หัวใจของเขากลับไม่ตอบสนองใดๆต่อความพยายามกดปั๊มนั้นเลย
หน้าจอมอนิเตอร์แสดงผลคลื่นหัวใจเห็นเป็นเส้นตรงราบ ไร้ซึ่งพลังงานกระแสไฟฟ้าที่แสดงการทำงานของหัวใจดวงนั้น ฉันจึงสั่งให้พยาบาลฉีดอะดรีนาลีนกระตุ้นการบีบตัวของหัวใจโดยด่วน
ได้ผล….มันกลับมาสูบฉีดโลหิตไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้อีกครั้ง
ชีพจร และความดันโลหิตกลับมาแล้ว
นี่แหละ……ความมหัศจรรย์ของยารักษาโรคที่ค้นพบโดยความพยายามเอาชนะความตายของมนุษย์ แม้จะพอสามารถยื้อยุดชีวิตจากน้ำมือมัจจุราชได้เพียงระยะเวลาหนึ่งก็ตาม
แต่ทว่า….. ม่านตาของเขาไม่ตอบสนองต่อแสงไฟแล้ว นั่นหมายถึงการตายของเนื้อสมองอันเกิดจากการขาดออกซิเจนนั่นเอง
ชายผู้มีท่อช่วยหายใจเป็นตัวส่งออกซิเจนแทนลมหายใจที่เคยมีอยู่ผู้นี้กำลังนอนทอดกายบนเปลนอนพร้อมสายน้ำเกลือและสายท่อปัสสาวะระโยงระยาง ไร้ซึ่งสติสัมปชัญญะ…… ไม่น่าเชื่อว่าเขาคือคนคนเดียวกับชายที่เพิ่งจะสนทนากับฉันเมื่อสักครู่นี้เอง
ช่วงเวลาเพียงไม่กี่วินาทีสามารถปลิดชีวิตของคนที่เคยดำรงอยู่ให้หายไปจากโลกนี้ได้อย่างไร้ความปราณี มันทำให้ฉันตระหนักถึงความอ่อนแอของมนุษย์ผู้ซึ่งยโสโอหัง และลืมไปว่าความร่ำรวยเงินทอง ยศฐา บรรดาศักดิ์ และอำนาจ ที่พวกเขาทั้งหลายต่างแสวงหานั้นไม่อาจนำพาเขาไปสู่ความเป็นอมตะได้เลย
ใครที่เคยได้ชม “อีอาร์” ซีรี่ส์ยอดฮิตจากฟากฝั่งอเมริกาก็คงจะพอเดาได้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำ และถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติที่จะพบเจอในห้องฉุกเฉินของทุกโรงพยาบาล แทบไม่ต้องอธิบายอะไรมาก เพราะชื่อห้องก็สามารถบ่งบอกถึงภาวะความรุนแรงของอาการป่วยที่จะพบในคนไข้ได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ว่าจะต้องเป็นอาการป่วยแบบไม่ธรรมดา ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิดจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
ห้องฉุกเฉินเป็นห้องที่รองรับผู้ป่วยประเภทรุนแรงถึงชีวิต ต้องได้รับการรักษาทันที โดยไม่มีคำว่า “รอ”ได้ และแน่นอน….
นั่นหมายถึงภาระอันหนักอึ้งของแพทย์เวรที่รับหน้าที่ดูแลผู้ป่วยเช่นกัน
การทำงานของแผนกนี้จะเน้นการทำงานเป็นทีม
เพราะการรักษาผู้ป่วยหนักต้องอาศัยความช่วยเหลือของบุคลากรจำนวนมาก แต่แม้ว่างานจะเหนื่อยและเสี่ยงแค่ไหน รอยยิ้มบนใบหน้าของทีมงานก็ไม่เคยจางหายไป มันปรากฏขึ้นทุกครั้งที่พวกเราสามารถช่วยเหลือผู้ป่วยให้พ้นภาวะวิกฤตไปได้ เป็นความภาคภูมิใจที่ได้ทำให้ชีวิตของคนๆหนึ่งมีโอกาสกลับไปพบเจอกับครอบครัวและคนที่เขารักอีกครั้ง
ฉันเลือกที่จะเรียนเป็นหมอเฉพาะทางในสาขานี้
( เรียกอย่างเป็นทางการว่าสาขาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน )
เนื่องจากความชอบส่วนตัว
ความตื่นเต้นท้าทายกระตุ้นให้ฮอร์โมนอะดรีนาลีนธรรมชาติในตัวฉันหลั่งออกมา
ทำให้หัวใจสูบฉีด และเหมือนมีพลังประหลาดอะไรบางอย่างเกิดขึ้นอยู่เสมอ
ฉันรู้สึกว่าตัวเองมีความสามารถที่จะทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะทำได้มาก่อนเวลาที่ผู้ป่วยอาการหนักกำลังจะเสียชีวิตไปต่อหน้าต่อตาของฉัน
คุณเคยเห็นคนยกตู้เย็นหรือโอ่งใบใหญ่ยักษ์ได้อย่างสบายเวลามีเหตุการณ์ไฟไหม้ หรือสามารถปีนขึ้นต้นไม้สูงๆที่ไม่เคยปีนได้มาก่อนเพื่อหลบภัยอันตรายไหมล่ะ? ฉันว่ามันก็คือพลังจากฮอร์โมนตัวที่ว่านี่แหละ
บางครั้งฉันก็เคยรู้สึกกลัว ฉันกลัวช่วยผู้ป่วยไม่สำเร็จ ฉันกลัวว่าตัวเองจะไม่กล้าทำหัตถการรุนแรงที่ต้องรุกร้ำผู้ป่วยอย่างมาก เช่น การใส่ท่อช่วยหายใจ การกรีดหลอดลม การเจาะท่อเข้าเยื่อหุ้มปอด …. ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในสมอง….ถ้าเกิดฉันทำพลาดขึ้นมาล่ะ ? …..นั่นหมายถึงชีวิตของผู้ป่วยเลยนะ ….แต่ฉันรู้สึกว่าวิญญาณและบทบาทความเป็นแพทย์ที่ฉันสวมอยู่มันมาบดบังตัวตนที่แท้จริงของฉันเอาไว้
เสื้อกาวน์สีขาวที่ห่อหุ้มตัวฉันมันเหมือนมีเวทมนต์แฝงอยู่ เสื้อที่จะคอยปกป้องฉันเวลาที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ช่วยชีวิตคนไข้ ฉันเชื่ออย่างนี้จริงๆ แล้วมันก็คุ้มครองให้ฉันผ่านพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างมาได้ด้วยดีทุกครั้ง
ฉันรักห้องฉุกเฉินเพราะมันสอนอะไรฉันหลายอย่าง ………
ฉันได้มองโลกเป็นสองทาง เพราะสิ่งที่เห็นจากห้องฉุกเฉิน………
ฉันเห็นทั้งความทุกข์ความสุข
ได้พบทั้งด้านมืดและด้านสว่างของมนุษย์
ฉันเห็นคู่ตายายที่มาให้กำลังใจกันและกันในวาระสุดท้ายของชีวิต
ฉันเห็นคู่สามีภรรยาที่รักกันมาก สามีที่เล่าความทุกข์ร้อนของภรรยาราวกับว่ามันเป็นปัญหาของเขาเอง ฉันเห็นสายตาแห่งความเอื้ออาทร อันดูอบอุ่นและอ่อนโยนจนใครๆก็ต้องอิจฉา
ฉันเห็นภรรยาที่ถูกสามีตำรวจทำร้ายร่างกายปางตายด้วยเรื่องทะเลาะหึงหวง ใบหน้าปูดบวมฟ้องถึงความเกลียดชังแทนที่ความรักที่ทั้งสองเคยมีให้แก่กัน บัดนี้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงจบสิ้นลงแล้ว ภรรยาได้แต่ร้องคร่ำครวญให้สามีผู้เคยเป็นที่รักได้ย้อนกลับมาหาตน แต่จะมีประโยชน์อะไรเล่าในเมื่อเขาได้มอบความรักให้กับหญิงคนใหม่ไปเสียแล้ว
ฉันเห็นชายและหญิงคนแล้วคนเล่าที่รับประทานสารพิษเพื่อฆ่าตัวตายด้วยสาเหตุผิดหวังจากความรัก
ฉันเห็นแม่ที่ต้องเสียลูกไปทั้งๆที่ยังไม่ได้ให้กำเนิดเขาออกมาดูโลกเลยด้วยซ้ำ แม่ที่ตั้งตารอคอยแก้วตาดวงใจผู้ซึ่งเคยถูกประคบประหงมและดูแลอย่างดีในครรภ์ ด้วยเพียงหวังจะให้เขาได้ลืมตาออกมาดูโลก มาเป็นยอดขวัญ เป็นโซ่ทองคล้องดวงใจของบุพการี หยดน้ำตาและเสียงร้องไห้นั้นยังคงฝังอยู่ในหัวใจของฉันไม่มีวันลืม
ฉันเห็นแม่ที่ไปทำแท้งเพื่อกำจัดมารหัวขนในท้องที่เธอไม่ได้ต้องการจะให้เกิดมา เลือดยังไหลออกมาจากมดลูกเนื่องจากแท้งออกมาไม่ครบทุกส่วน แล้วก็ยังสามารถโกหกหน้าตายว่าเป็นเลือดประจำเดือนธรรมดา เธอขอให้ฉันช่วยขูดมดลูกให้ด้วย
ฉันเห็นพ่อแม่ที่ห่วงใยลูกน้อย เป็นกังวลแม้ความเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆของเขา
ฉันเห็นพ่อแม่ป่วยเป็นโรคเอดส์ด้วยความสำส่อนของเพศบุรุษ ลูกของเขาก็ติดเชื้อโรคเอดส์เช่นกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคได้อย่างเด็กทั่วไป เขาใช้ชีวิตด้วยความทุกข์ทรมานจากโรคที่พ่อแม่ได้หยิบยื่นให้ตั้งแต่แรกเกิด และคงจะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อีกไม่นาน
ฉันเห็นนักกีฬาที่ร่างกายแข็งแรง ประสบอุบัติเหตุจากการลงแข่งขัน เขามีกล้ามเนื้อและรูปร่างดูดี สมส่วน และคงจะมีพละกำลังเหนือกว่าคนทั่วๆไป
ฉันเห็นผู้ป่วยโรคเอดส์ และผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้าย ร่างกายผอมโซเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นอนรอความตายอยู่บนเตียงด้วยความหมดหวัง
ฉันเห็นการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตายได้ในวันเดียวกันในห้องฉุกเฉิน
เห็นธาตุแท้ของมนุษย์หลากจำพวก หลายประเภท
สันดานดิบของมนุษย์ที่ก่อเหตุข่มขืน
และเด็กสาวที่อ้างว่าถูกข่มขืน
ความเสียสละและเห็นแก่ตัว
คนที่ยอมให้ผู้ที่เจ็บป่วยรุนแรงมากกว่าได้รับการรักษาก่อน
คนป่วยเล็กน้อยที่ไม่ยอมแม้แต่จะเสียสละเวลาให้แก่ผู้ป่วยอาการหนักใกล้จะเสียชีวิตให้ได้รับการรักษาเยียวยาจากแพทย์ก่อน ด้วยเหตุผลเพียงแค่ “ขี้เกียจรอ”
บัวทั้งสี่เหล่าวนเวียนกันเข้ามาให้สัมผัส และท้าทายความอดทนอดกลั้นของผู้เป็นแพทย์ยั่วยุให้ระงับอารมณ์ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็เป็นแบบทดสอบให้กับชีวิตได้ดีทีเดียว
เรื่องราวของผู้คนมากมายผ่านเข้ามาให้ได้รับรู้
ทุกรูปแบบ ทุกชนชั้นวรรณะ ทุกเชื้อชาติ ทุกฐานะ
ที่ต่างก็หลีกหนีความตายไปไม่พ้นสักคน
แม้แต่ตัวฉันเอง…….ซึ่งเป็นแพทย์
บางที……ในวันหนึ่ง
ฉันอาจจะเป็นผู้ที่ต้องมารับบริการในห้องนี้เสียเองก็ได้
นี่แหละสิ่งที่สมองและสองตาของฉันได้รับมาจากห้องฉุกเฉิน หรือห้องอีอาร์
รู้แล้วใช่ไหม ว่าทำไมฉันจึงเลือกเรียนเวชศาสตร์ฉุกเฉิน