ช่วงเย็นของวันสิ้นปีพุทธศักราช 2549 ทุก คนต่างวางแผนในการเฉลิมฉลองเทศกาลอันพิเศษนี้กันอย่างตื่นเต้นเหมือนทุกๆปี ที่ผ่านมา มองออกไปที่ถนนเห็นแสงไฟกระพริบระยิบระยับ บนตึกประดับประดาไปด้วยข้อความอวยพรปีใหม่ ช่วงเวลาแห่งความสุขซึ่งปีหนึ่งจะมีสักครั้งแบบนี้เป็นเสมือนรางวัลตอบแทน ความเหน็ดเหนื่อยที่ได้รับจากการตรากตรำทำงานในระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา ไม่มีใครคาดคิดว่าจะมีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น
ในวันนั้นแม้ว่าฉันจะต้องรับหน้าที่อยู่เวรในแผนกอายุรกรรมแต่ก็ยังสัมผัสได้ ถึงบรรยากาศความสนุกสนานจากเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ภายนอก โรงพยาบาล ฉันสั่งพิซซ่ามารับประทานกับน้องๆนักศึกษาแพทย์ที่อยู่เวรด้วยกันในคืนนั้น ยังไม่ทันรับประทานหมดคำสุดท้ายก็ได้ยินเจ้าหน้าที่เวรเปลวิ่งเข้ามาแจ้งว่า มีเหตุระเบิดที่หม้อแปลงไฟฟ้าอยู่บริเวณป้ายรถเมล์อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หน้าโรงพยาบาลของเรานี่เอง ฉันคิดในใจว่าโชคดีจริงๆที่คืนนี้ไม่ได้อยู่เวรศัลยกรรม ไม่อย่างนั้นคงต้องอดหลับอดนอนทั้งคืนเป็นแน่ สักพักก็มีข่าวจากโทรทัศน์ว่ามีเหตุระเบิดเกิดขึ้นที่บริเวณป้ายรถเมล์ อนุสาวรีย์ฯ แทนที่จะเป็นเหตุหม้อแปลงระเบิดกลับกลายเป็นระเบิดแสวงเครื่องที่ซ่อนอยู่ใน ถังขยะแทน
“เจ้าหน้าที่ทุกท่านโปรดทราบ แจ้งแผน 222 ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ ขอแจ้งแผน222 ที่ห้องฉุกเฉินค่ะ”
thai_bomb_0105.jpg
สิ้นเสียงประกาศฉันวิ่งตรงไปยังห้องฉุกเฉินทันทีด้วยความรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบในฐานะแพทย์ประจำบ้านที่กำลังมาเรียนต่อเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ ฉุกเฉิน ความคิดเห็นแก่ตัวเมื่อสักครู่นี้หายไปอย่างสิ้นเชิง ฉันคาดเดาว่าคงต้องมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอนซึ่งทางการแพทย์ เรียกกันว่าอุบัติเหตุกลุ่มชน (mass casualty) อันเป็นเหตุการณ์ที่บุคลากรและเครื่องมือทางการแพทย์ไม่เพียงพอกับจำนวนผู้บาดเจ็บซึ่งมีจำนวนมากกว่า
ที่ห้องฉุกเฉิน ฉันเห็นภาพผู้คนพลุกพล่านเต็มไปหมด ส่วนใหญ่เป็นหมอและพยาบาลแผนกต่างๆที่ได้ยินเสียงประกาศและวิ่งมาช่วยกัน ดูแลผู้บาดเจ็บ มีผู้บาดเจ็บรุนแรงในห้องผู้ป่วยวิกฤต2 คน เป็นผู้ชายร่างใหญ่ซึ่งดูอาการรุนแรงมากกว่า และอีกคนหนึ่งที่มีบาดแผลรุนแรงน้อยกว่า ชายร่างใหญ่นั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยแพทย์เวรศัลยกรรมในวันนั้นมากเพียงพออยู่ แล้ว ฉันจึงตรงไปที่ผู้ป่วยอีกคนที่มีแพทย์เพียงคนเดียวดูแลอยู่ ฉันเห็นต้นขาของเขาบวมมาก จึงรีบนำที่ดามกระดูกมาใส่ให้ หลังจากที่เขาได้น้ำเกลือเข้าเส้นเลือดเพื่อทดแทนภาวะช็อกจากการเสียเลือดจน ความดันโลหิตสูงขึ้นแล้ว เขาก็เริ่มฟื้นคืนสติ ในตอนนั้นเขาดูตกใจมากและเริ่มดิ้นไปมา ฉันบอกกับเขาว่าไม่ต้องกลัว อธิบายว่าเขาเพิ่งประสบกับเหตุการณ์ระเบิด ตอนนี้แพทย์กำลังดำเนินการช่วยเหลืออยู่ ดูเหมือนกับว่าเขากำลังงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อได้ยินฉันอธิบาย เขาก็เริ่มสงบลง ฉันคิดในใจว่าชายผู้โชคร้ายคนนี้อาจจะเป็นสามี หรือเป็นพ่อของใครบางคนที่กำลังเฝ้ารอการกลับไปของเขาอยู่ก็ได้ ฉันจึงภาวนาขอให้เขารอดชีวิตเพื่อจะได้มีโอกาสกลับไปพบกับครอบครัวที่รักได้ อีกครั้งหนึ่ง
สุดท้าย เขาก็ได้รอดชีวิตกลับไปด้วยความพยายามสุดความสามารถของเหล่าแพทย์ พยาบาลที่ได้ร่วมปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้น ส่วนชายร่างใหญ่คนแรกมีบาดแผลฉกรรจ์ด้านหลังทะลุโดนเส้นเลือดแดงใหญ่และเสีย เลือดจนกระทั่งไม่สามารถยื้อยุดฉุดชีวิตเอาไว้ได้
ใครกันนะที่สามารถทำเรื่องแบบนี้ในช่วงเวลาเทศกาลแห่งความสุขเช่นนี้ได้? หัวใจของเขาทำด้วยอะไรกัน? ทำไมมนุษย์เราจึงสามารถทำลายเพื่อนมนุษย์ได้อย่างอำมหิตและเลือดเย็นได้ขนาดนี้? ตอนนั้นฉันคิดว่าฉันกำลังฝันไปเพราะเหตุการณ์แบบนี้ไม่น่าจะมาเกิดในประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองแห่งพระพุทธศาสนา และมีแต่ความสงบสุขมาโดยตลอด
แต่ความโหดร้ายของมนุษย์บางคนที่แสดงออกมาจากเหตุการณ์ครั้งนี้ ก็ได้สะท้อนให้เห็นถึงความงดงามของน้ำใจของมนุษย์อีกกลุ่มหนึ่งเช่นกัน ฉันเห็นภาพของเจ้าหน้าที่ บุคลากรที่เข้าช่วยเหลือและให้กำลังใจผู้เคราะห์ร้ายอย่างไม่ย่อท้อต่อความเหน็ดเหนื่อย พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่ได้ทรงประทานให้แก่คณะเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นทันทีที่ เหตุการณ์ได้เกิดขึ้น
เราได้อะไรมากมายจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมรับเหตุการณ์อุบัติเหตุกลุ่มชนที่อาจเกิดขึ้นซ้ำอีก เพื่อรับสถานการณ์และดูแลผู้บาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่านี้ ไม่ว่าในสังคมจะมีคนที่โหดร้ายอยู่มากสักเพียงไหน พวกเขาจะก่อเหตุร้ายเพิ่มขึ้นมากเพียงใด เราก็จะยังคงเห็นความงดงามของคนที่มีจิตใจโอบเอื้ออารี และคอยช่วยเหลือผู้ประสบภัยอยู่เคียงคู่กันไปเรื่อยๆ จนกว่าความงดงามในจิตใจจะเบ่งบานส่งผ่านไปยังผู้ที่ก่อความไม่สงบให้เขาได้ รับรู้และ สำนึกถึงคุณค่าของความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนพึงมี ฉันได้แต่หวังว่าผู้ก่อเหตุครั้งนี้จะรับรู้ความรู้สึกของผู้คนซึ่งได้รับ ความเดือดร้อนจากการกระทำของเขา และควรจะอับอายกับสิ่งที่ได้กระทำลงไป ฉันอยากให้เขาทราบว่าการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่นมันมีค่ามากกว่าการทำลาย ชีวิตของผู้คนบริสุทธิ์เป็นไหนๆ ถ้าความปรารถนาอันนี้จะสามารถส่งไปยังพวกเขาจนความงดงามได้เข้าครอบงำแทน ความโหดร้ายในจิตใจได้แล้วล่ะก็ สังคมของเราก็คงจะน่าอยู่กว่าในขณะนี้อย่างแน่นอน